top of page

World.

 โลก เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่สามโดยโลกเป็นดาวเคราะห์หินขนาดใหญ่ที่สุดใน ระบบสุริยะ และเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดาวเคราะห์โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,570 ล้าน (4.57×109) ปีก่อน และหลังจากนั้นไม่นานนักดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกก็ถือกำเนิด ตามมาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่ครองโลกในปัจจุบันนี้คือมนุษย์
         โลก มีลักษณะเป็นทรงวงรี โดย ในแนวดิ่งเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอน ยาว 12,755 กม. ต่างกัน 44  กม. มีพื้นน้ำ 3 ส่วน หรือ 71% และมีพื้นดิน 1 ส่วน หรือ 29 % แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา  

                                        

           จากการศึกษาภายในโลกของนักวิทยาศาสตร์ โดยศึกษาคลื่นแผ่นดินไหว และการทดลองระเบิดใต้ผิวโลกการวัดมวล การวัดปริมาตร และการวัดความหนาแน่นเฉลี่ยของโลกโดยทางกายภาพ จากการสังเกตคลื่น seismic waves ที่ได้ผ่านเข้ามาภายในโลกในชั้นลึกๆ จากการสังเกตสะเก็ดดาว และวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ  จากการศึกษาทดลองวัสดุธรรมชาติ ณ อุณหภูมิและความดันสูงเหมือนภายในโลกและจากการศึกษาสนามแม่เหล็กของโลก  จากข้อมูลการศึกษาดังกล่าว ทำให้แบ่งส่วนประกอบของโลกได้เป็นชั้นๆ  ที่สำคัญ มี 3 ชั้น คือ

  1. เปลือกโลก (Earth crust)

  2. แมนเทิล (Mantle)

  3. แก่นโลก (Core)       -  แก่นโลกชั้นนอก (Outer core)       -  แก่นโลกชั้นใน (Inner core)

 

 

            1. เปลือกโลก  (crust)    เป็นชั้นนอกสุดของโลกที่มีความหนาประมาณ 60-70  กิโลเมตร  ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่บางที่สุดเมื่อเปรียบกับชั้นอื่นๆ เสมือนเปลือกไข่ไก่หรือเปลือกหัวหอม เปลือกโลกประกอบไปด้วยแผ่นดินและแผ่นน้ำ ซึ่งเปลือกโลกส่วนที่บางที่สุดคือส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร    ส่วนเปลือกโลกที่หนาที่สุดคือเปลือกโลกส่วนที่รองรับทวีป ที่มีเทือกเขาที่สูงที่สุดอยู่ด้วย นอกจากนี้เปลือกโลกยังสามารถแบ่งออกเป็น 2  ชั้น คือ    
             ชั้นที่หนึ่ง:   ชั้นหินไซอัล (sial)   เป็นเปลือกโลกชั้นบนสุด ประกอบด้วยแร่วิลิกา และอะลูมินา  ซึ่งเป็นหินแกรนิต ชนิดหนึ่ง สำหรับบริเวณผิวของชั้นนี้จะเป็นหินตะกอน ชั้นหินไซอัลนี้มีเฉพาะเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีปเท่านั้น ส่วนเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรจะไม่มีหินชั้นนี้      
             ชั้นที่สอง: ชั้นหินไซมา (sima)   เป็นชั้นที่อยู่ใต้หินชั้นไซอัลลงไป    ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์   ประกอบด้วยแร่ซิลิกาเหล็กออกไซด์ และ แมกนีเซียม  ชั้นหินไซมานี้ห่อหุ้มทั่วทั้งพื้นโลกอยู่ในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งต่างจากหินชั้นไซอัลที่ ปกคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นทวีป และยังมีความหนาแน่นมากกว่าชั้นหินไซอัล 

 

        
         2. แมนเทิล (mantle หรือ Earth's mantle) คือชั้นที่อยู่ถัดจากเปลือกโลกลงไป มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางส่วนของหินอยู่ในสถานะหลอมเหลวเรียกว่าหินหนืด (Magma) ทำให้ชั้นแมนเทิลนี้มีความร้อนสูงมาก เนื่องจากหินหนืดมีอุณหภูมิประมาณ 800 - 4300°C ซึ่งประกอบด้วยหินอัคนีเป็นส่วนใหญ่ เช่น หินอัลตราเบสิก  หินเพริโดไลต์ 

 

        3. แก่นโลก          

           ความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลี่ยคือ 5,515 กก./ลบ.ม. ทำให้มันเป็นดาวเคราะห์ที่หนาแน่นที่สุดในระบบสุริยะ แต่ถ้าวัดเฉพาะความหนาแน่นเฉลี่ยของพื้นผิวโลกแล้ววัดได้เพียงแค่ 3,000    กก./ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดข้อสรุปว่า ต้องมีวัตถุอื่นๆ ที่หนาแน่นกว่าอยู่ในแก่นโลกแน่นอน  ระหว่างการเกิดขึ้นของโลก ประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว การหลอมละลายอาจทำให้เกิดสสารที่มีความหนาแน่นมากกว่าไหลเข้าไปในแกนกลางของโลก ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าคลุมเปลือกโลกอยู่ ซึ่งทำให้แก่นโลก (core) มีองค์ประกอบเป็นธาตุเหล็ก ถึง 80%, รวมถึงนิกเกิล และธาตุที่มีน้ำหนักที่เบากว่าอื่นๆ แต่ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นสูงอื่นๆ เช่นตะกั่ว และ  ยูเรเนียมมีอยู่น้อยเกินกว่าที่จะผสานรวมเข้ากับธาตุที่เบากว่าได้ และทำให้สสารเหล่านั้นคงที่อยู่บนเปลือกโลก 

             แก่นโลกแบ่งได้ออกเป็น 2 ชั้นได้แก่
                    แก่นโลกชั้นนอก (outer core) มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 - 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย และมีความร้อนสูง มีอุณหภูมิประมาณ 6200 - 6400 มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ 12.0  และส่วนนี้มีสถานะเป็นของเหลว                            

                    แก่นโลกชั้นใน (outer core) เป็นส่วนที่อยู่ใจกลางโลกพอดี มีรัศมีประมาณ 1,000 กิโลเมตร  มีอุณหภูมิประมาณ  4,300 - 6,200 และมีความกดดันมหาศาล ทำให้ส่วนนี้จึงมีสถานะเป็นของแข็งประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลที่อยู่ในสภาพที่เป็นของแข็ง มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ 17.0 

 

 

bottom of page